พระคือศูนย์รวมดวงใจ ปกเกล้าเผ่าไทย
ทวยราษฎร์ร่มใต้ใบบุญ
ทรงพระเมตตาการุญ โอบเอื้อเจือจุน
บรรเทาทุกข์ปวงประชา
มหากษัตริย์นักพัฒนา ทรงยึดปรัชญา
ความพอเพียงเลี้ยงชีพชน
พออยู่พอกินขจัดจน พอดีแห่งตน
อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี
พระดำริโครงการมากมี รวบรวมทฤษฎี
เพื่อประโยชน์พสกนิกร
พระเกียรติคุณบวร เกริกไกรกำจร
ธ คือร่มโพธิ์ทองผองไทย
เฉลิมพระชนม์มงคลสมัย ปวงราษฎร์รวมใจ
ด้วยความจงรักภักดี
พรั่งพร้อมน้อมอัญชุลี ถวายพรพระภูมี
พระบาทสมเด็จ พระ เจ้าอยู่หัว
ทรง ตระ หนัก ดี ว่า
การ พัฒนา การ ศึกษา ของ เยาวชน นั้น
เป็น พื้น ฐาน อัน สำคัญ ของ ประเทศ ชาติ
จึง ทรง พระ กรุณา โปรดเกล้าฯ
พระ ราชทาน พระ ราชทรัพย์ จัด ตั้งมูลนิธิ อานันทมหิดล
ให้ เป็น ทุน สำหรับ การ ศึกษา ใน แขนง วิชา ต่างๆ
เพื่อ ให้ นักศึกษา ได้ มี ทุน ออก ไป ศึกษา
หา ความรู้ ต่อ ใน วิชา การ ชั้น สูง ใน ประเทศ ต่างๆ
โดย ไม่ มี เงื่อน ไข ข้อ ผูกพัน แต่ ประการ ใด
เพื่อ ที่ จะ ได้ นำ ความ รู้ นั้นๆ
กลับ มา ใช้ พัฒนา ประเทศชาติ ให้ เจริญ ก้าวหน้า ต่อ ไป

ทรง ก่อ ตั้ง กองทุน นวฤกษ์
ใน มูลนิธิ ช่วย นัก เรียน ที่ ขาดแคลน
ใน พระ บรม ราชูปถัมภ์
เพื่อ ช่วย ให้ นัก เรียน ที่ ขาดแคลน ทุนทรัพย์
ได้ มี โอกาส เข้ารับ การศึกษา ใน ระดับ ประถม ศึกษา
และ ระดับ มัธยม ศึกษา
ทั้ง ยัง พระ ราชทาน พระ ราชทรัพย์ ส่วน พระ องค์
เป็น ทุน ริเริ่ม ในการ ก่อสร้าง โรงเรียน ตาม วัด ใน ชนบท
สำหรับ ที่ จะ สงเคราะห์ เด็ก ยากจน และ กำพร้า
ให้ ได้ มี สถาน ที่ สำหรับ ศึกษา เล่าเรียน
โดย อาราธนา พระภิกษุ เป็น ครู สอน ใน วิชา สามัญ ต่างๆ
ที่ ไม่ ได้ ขัด ต่อ พระธรรมวินัย
ตลอด จน ช่วย อบรม ศีลธรรม แก่ เด็ก นักเรียน
ทั้ง นี้
เป็น พระ ราช ประสงค์ ที่ จะ ให้ เด็ก นักเรียน
ได้ เกิด ความสัมพันธ์ ระหว่าง ศาสนา กับ การศึกษา ควบคู่ กันไป
อัน จะ ทำ ให้ เยาวชน ของ ชาติ
นอก จาก จะ มี ความ รู้ ด้าน วิชา การ แล้ว
ยัง จะ ทำ ให้ มี จิต ใจ ที่ ดี
ที่ ตั้ง มั่น อยู่ ใน ศีลธรรม
เพื่อ ที่ จะ ได้ เป็น พลเมือง ดี ของ ประเทศชาติ ต่อไป
ใน อนาคต
โรงเรียน ร่มเกล้า
ก็ เป็น สถาน ศึกษา ใน ระดับ มัธยม ศึกษา
ใน หลาย จังหวัด ที่ เกิด ขึ้น จาก พระ ราชดำริ
ที่ จะ ให้ ทหาร ออก ไป ปฏิบัติ ภารกิจ ใน ท้องที่ ทุรกันดาร
ได้ ทำ ประ โยชน์ ต่อ ชุมชน
และ มี ส่วน ช่วยเหลือ ประชาชน ใน ด้าน การศึกษา
ตาม โอกาส อัน ควร
โดย พระราชทาน พระ ราชทรัพย์ ส่วน พระ องค์
ให้ ทหาร จัด สร้าง โรงเรียน ขึ้น ใน จังหวัด นครพนม
จังหวัด สกลนคร จังหวัด นราธิวาส
จังหวัด ปราจีนบุรี และ จังหวัด แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
เพื่อ ช่วย บรรเทา ปัญหา การ ขาดแคลน สถานศึกษา สำหรับ เยาวชน
และ ยัง เป็น การ ส่งเสริม ความ เข้าใจ อัน ดี
ระหว่าง เจ้าหน้าที่ ทหาร ที่ ไป ปฏิบัติ ภารกิจ ในพื้นที่ นั้นๆ
กับราษฎร เจ้า ของ ท้อง ที่ อีก โสต หนึ่ง ด้วย
ซึ่ง ใน การ ดำเนิน งาน จัด สร้าง โรงเรียน
ทางฝ่าย ทหาร ได้ ติดต่อ ประสานงาน กับ เจ้าหน้าที่ ฝ่าย ปกครอง
และ ฝ่าย ศึกษาธิการ
เพื่อ เลือก สถานที่ ตั้ง โรงเรียน ที่ เหมาะสม กับ ความจำเป็น ที่สุด
ซึ่ง ปรากฎว่า ราษฎร ใน ท้องที่ ที่ มี การ สร้าง โรงเรียน
ได้ พา กัน ร่วม อุทิศ แรงกาย ช่วย ใน การ ก่อสร้าง
ตลอดจน อุทิศ ทุนทรัพย์ สมทบ เป็น ทุน ในการ จัดซื้อ อุปกรณ์ ต่างๆ
ที่ จะ นำ ไป ใช้ ใน การ ก่อสร้าง โรงเรียน
เพื่อ เป็น การ โดย เสด็จ พระราชกุศล ด้วย
และ เมื่อ การ ก่อ สร้าง โรงเรียน แล้ว เสร็จ
พระ บาท สมเด็จ พระ เจ้า อยู่ หัว
ได้ เสด็จ พระราชดำเนิน ไป ทรง เปิด โรงเรียน เหล่า นั้น
พร้อม ทั้ง พระ ราชทาน นาม ว่า โรงเรียน ร่มเกล้า
ซึ่ง ใน ปัจจุบัน มี ทั้ง โรงเรียน ระดับ ประถม ศึกษา
และ ระดับ มัธยม ศึกษา
โดย ที่ พระ บาท สมเด็จ พระ เจ้า อยู่ หัว
ทรง เป็น ประมุข ของ ประเทศ
ได้ เสด็จ พระ ราช ดำ เนิน เยือน ประเทศ ต่างๆ
หลาย ประเทศ ทั้ง ใน ทวีป เอเชีย ทวีป ยุโรป
และ ทวีป อเมริกา เหนือ
เพื่อ เป็น การ เจริญ ทาง พระราชไมตรี ระหว่าง ประเทศ ไทย
กับ บรรดา มิตร ประเทศ เหล่า นั้น
ที่ มี ความ สัมพันธ์ อัน ดี อยู่ แล้ว
ให้ มี ความ สัมพันธ์ แน่นแฟ้น ยิ่ง ขึ้น
ทรง นำ ความ ปรารถนา ดี ของ ประชาชน ชาวไทย
ไป ยัง ประเทศ ต่างๆ นั้นด้วย
ทำ ให้ ประเทศไทย เป็น ที่ รู้จัก กัน อย่าง กว้างไกล มากยิ่งขึ้น
นับ ว่า เป็น ประ โยชน์ ต่อ ประเทศ ไทย อย่าง มหาศาล
และ ประเทศ ต่างๆ
ที่ เสด็จ พระราชดำเนิน ไป ทรง เจริญ ทาง พระราชไมตรี นั้น
มี ดังนี้
- เวียดนาม
ใต้ ระหว่าง วัน ที่ ๑๘-๒๑ ธันวาคม ๒๕๐๒ ซึ่ง เป็น การ เสด็จ พระ ราชดำเนิน เยือน ต่างประเทศ ครั้งแรก ใน รัชกาล ปัจจุบัน - สาธารณรัฐ
อินโดนีเซีย ระหว่าง วัน ที่ ๘-๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๓ - สหภาพ
พม่า ระหว่าง วัน ที่ ๒-๕ มีนาคม ๒๕๐๓ - สหรัฐ
อเมริกา ระหว่าง วัน ที่ ๑๔ มิถุนายน - ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๐๓ - อังกฤษ ระหว่าง
วัน ที่ ๑๙-๒๓ กรกฎาคม ๒๕๐๓ - สหพันธ์
สาธารณรัฐ เยอรมัน ระหว่าง วันที่ ๒๕ กรกฎาคม - ๒ สิงหาคม ๒๕๐๓ - สาธารณรัฐ
โปรตุเกส ระหว่าง วันที่ ๒๒-๒๕ สิงหาคม ๒๕๐๓ - สวิตเซอร์แลนด์ ระหว่าง
วันที่ ๒ช-๓๑ สิงหาคม ๒๕๐๓ - เดนมาร์ก ระหว่าง
วันที่ ๖-๙ กันยายน ๒๕๐๓ - นอร์เวย์ ระหว่าง
วันที่ ๑๙-๒๑ กันยายน ๒๕๐๓ - สวีเดน ระหว่าง
วันที่ ๒๓-๒๕ กันยายน ๒๕๐๓ - สาธารณรัฐ
อิตาลี ระหว่าง วันที่ ๒๘ กันยายน - ๑ ตุลาคม ๒๕๐๓ - นครรัฐ
วาติกัน เมื่อ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๓ - เบลเยี่ยม ระหว่าง
วันที่ ๔-๗ ตุลาคม ๒๕๐๓ - สาธารณรัฐ
ฝรั่งเศส ระหว่าง วันที่ ๑๑-๑๔ ตุลาคม ๒๕๐๓ - ลักเซมเบอร์ก ระหว่าง
วันที่ ๑๗-๑๙ ตุลาคม ๒๕๐๓ - เนเธอร์แลนด์ ระหว่าง
วันที่ ๒๔-๒๗ ตุลาคม ๒๕๐๓ - สเปน ระหว่าง
วันที่ ๓-๘ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ - สาธารณรัฐอิสลาม
ปากีสถาน ระหว่าง วันที่ ๑๑-๒๒ มีนาคม ๒๕๐๕ - สหพันธรัฐมลา
ยา ระหว่าง วันที่ ๒๐-๒๗ มิถุนายน ๒๕๐๕ - นิวซีแลนด์ ระหว่าง
วันที่ ๑๘-๒๖ สิงหาคม ๒๕๐๕ - ออสเตรเลีย ระหว่าง
วันที่ ๒๖ สิงหาคม - ๑๒ กันยายน ๒๕๐๕ - ญี่ปุ่น ระหว่าง
วันที่ ๒๗ พฤษภาคม - ๕ มิถุนายน ๒๕๐๖ - สาธารณรัฐ
จีน ระหว่าง วันที่ ๕-๘ มิถุนายน ๒๕๐๖ - สาธารณรัฐ
ฟิลิปปินส์ ระหว่าง วันที่ ๙-๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๖ - สาธารณรัฐ
ออสเตรีย ระหว่าง วันที่ ๒๙ กันยายน - ๕ ธันวาคม ๒๕๐๗ - สาธารณรัฐ
เยอรมัน ระหว่าง วันที่ ๒๒-๒๘ สิงหาคม ๒๕๐๙ ซึ่ง เป็น การ เสด็จ พระ ราชดำเนิน เยือน ครั้ง ที่ สอง - สาธารณรัฐ
ออสเตรีย ระหว่าง วันที่ ๒๙ กันยายน - ๒ ตุลาคม ๒๕๐๙ ซึ่ง เป็น การ เสด็จ พระ ราชดำเนิน เยือน ครั้ง ที่ สอง - อิหร่าน ระหว่าง
วันที่ ๒๓-๓๐ เมษายน ๒๕๑๐ - สหรัฐอเมริกา ระหว่าง
วันที่ ๖-๒๐ มิถุนายน ๒๕๑๐ ซึ่ง เป็น การ เสด็จ พระ ราชดำเนิน เยือน ครั้ง ที่ สอง - แคนาดา ระหว่าง
วันที่ ๒๑-๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๐ - สาธารณรัฐ
ประชาธิปไตย ประชาชน ลาว ระหว่าง วันที่ ๘-๙ เมษายน ๒๕๓๗

เมื่อ เสร็จ สิ้น การ เสด็จ พระ ราชดำเนิน เยือน ประเทศ ต่างๆ
แล้ว ก็ ได้ ทรง ต้อน รับ พระ ราช อาคันตุกะ
ที่ เป็น ประมุข ของ ประเทศ ต่างๆ
ที่ เสด็จ และ เดินทาง มา เยือน ประเทศ ไทย เป็น การตอบแทน
และ บรรดา พระ ราช อาคันตุกะ ทั้ง หลาย
ต่าง ก็ ประทับ ใจ ใน พระ ราชวงศ์ ของ ไทย
ตลอด จน ประชา ชน ชาว ไทย อย่าง ทั่ว หน้า

นอก จาก นั้น
ยัง มี โครง การ ทันตกรรม พระ ราชทาน
ซึ่ง เป็น พระ ราช ดำริ ที่ ให้ ทันตแพทย์ อาสาสมัคร
ได้ เดิน ทาง ออก ไป ช่วยเหลือ บำบัด โรค เกี่ยวกับ ฟัน
ตลอด จน สอน การ รักษา อนามัย ของ ปาก และ ฟัน
แก่ เด็กนักเรียน และ ราษฎร ที่ อาศัย อยู่ ใน ท้องที่ ทุรกันดาร
และ ห่าง ไกล จาก แพทย์ ทั่ว ทุก ภาค
โดย ให้ การ บริการ รักษา โรค ฟัน
โดย ไม่ คิด มูลค่าใน การ แพทย์ เคลื่อน ที่
สำหรับ การ เสด็จ พระราชดำเนิน ทรง เยี่ยม วัด ทุก แห่ง
ซึ่ง นับ เป็น ศูนย์ กลาง ของ ชุมชน ใน ชนบท
โดย จะ พระ ราชทาน กล่อง ยา แก่ วัด
เพื่อ พระ ภิกษุ ใช้ เมื่อ เกิด อาพาธ
และ เพื่อ แจกจ่าย แก่ ราษฎร ผู้ป่วย เจ็บ ใน หมู่บ้าน นั้นๆ
ส่วน ใน การ เสด็จ พระราชดำเนิน ไป เยี่ยม หน่วย ทหาร
ตำรวจ และ อาสาสมัคร
ที่ ออก ไป ตั้ง ฐาน ปฏิบัติ การ ใน ท้อง ที่ ทุรกันดาร
ก็ จะ พระ ราชทาน สิ่ง ของ ที่ จำ เป็น ต่างๆ
รวม ทั้ง ยารักษาโรค สำหรับ ใช้ ใน หมู่ เจ้าหน้าที่
และ ใช้ ใน การ รักษา พยาบาล
และ เพื่อ แจก จ่าย แก่ ราษฎร ใน ท้อง ที่
ที่ มา ขอ ความ ช่วย เหลือ
อัน จะ ทำ ให้ เจ้าหน้าที่ ฝ่าย ปราบปราม
และ ประชาชน ใน พื้น ที่ ปฏิบัติ การ
ได้ มี ความ เข้า ใจ อัน ดี ต่อ กัน
รู้ จัก ช่วย เหลือ ซึ่ง กัน และ กัน
ทางด้าน หน่วย แพทย์หลวง ที่ จะ ต้อง ตาม เสด็จ พระราชดำเนิน ไป
ณ ที่ ประทับ แรม ทุก แห่งนั้น
จะ มี เจ้าหน้าที่ ให้ การ รักษา พยาบาล ราษฎร
ผู้ มา ขอ รับ การ รักษา
ไม่ ต้อง เสีย ค่า ใช้ จ่าย แต่ ประการ ใด
นอก จาก นั้น
หน่วยแพทย์หลวง ยัง จัด เจ้าหน้าที่ ออก เดิน ทาง
ไป รักษา ราษฎร ผู้ ป่วย เจ็บ
ตาม หมู่ บ้าน ที่ อยู่ ห่าง ไกล ออก ไป อีก ด้วย
โดย ได้ รับ ความ ร่วม มือ จาก เจ้าหน้าที่ ฝ่าย ปกครอง
ซึ่ง เป็น ผู้ แนะ นำ สถานที่ และ ร่วม เดิน ทางไป ด้วย
สำหรับ ราษฎร ผู้ เจ็บ ป่วย ราย ที่ มี อาการ หนัก
หรือ จำเป็น ที่ จะ ต้อง ได้รับ การ ตรวจรักษา เพิ่มเติม นั้น
ก็ จะ ทรง พระ กรุณา โปรดเกล้าฯ
ให้ ข้า ราช บริพาร ที่ ตาม เสด็จ พระราชดำเนิน
ทำ การ บันทึก ราย ชื่อ อาชีพ ที่ อยู่
และ อาการ โดย ละเอียด
โดย ตรวจ สอบ ความ ถูก ต้อง กับ เจ้าหน้าที่ ฝ่าย ปกครอง
และ มี สำเนา ให้ รับทราบ เพื่อ ติดต่อ ประสานงาน ต่อไป
ใน การ พิจารณา ส่ง ผู้ ป่วย ไป รับ การ รักษา ต่อ
ตาม ความ เห็น ของ แพทย์ ผู้ ทำ การ ตรวจ
ที่มา
http://prdnorth.in.th/The_King/King_Multifarious_Duty.php
ที่มา
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ

จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่างๆเป็นประจำ ได้ทรงพบเห็นท้องถิ่นหลายๆแห่งประสบปัญหาความแห้งแล้ง
หรือขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการทำเกษตร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูเพาะปลูก เกษตรกรจะประสบความเดือดร้อน ทุกข์ยากมาก เนื่องจากบางครั้งฝนได้ทิ้งช่วงนานหรือภาวะฝนทิ้งช่วงเกิดในระยะวิกฤติของพืชผล
คือพืชอยู่ในระยะที่กำลังให้ผลผลิตต่ำ หรืออาจจะไม่มี ผลผลิตให้เลย เป็นต้น
ดังนั้นภาวะฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงใน แต่ละครั้ง/แต่ละปีจึงสร้างความเดือดร้อน
และความสูญเสียทางเศรษฐกิจแก่เกษตรกรเป็นอย่างสูง
นอกจากนี้ภาวะความต้องการใช้น้ำนับวันจะทวีปริมาณความต้องการเพิ่มสูงขึ้นตามอัตราการเพิ่มของประชากร
การขยายพื้นที่เกษตรกรรมและการเจริญเติบตของกลุ่มอุตสาหกรรม ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลและทรง
ความอัจฉริยะในพระองค์ท่านดังนั้นในปี
พุทธศักราช2498จึงได้มีพระราชดำริค้นหาวิธีการ
ที่จะทำให้เกิดฝนตกนอกเหนือจากที่จะได้รับ
จากธรรมชาติโดยนำเทคโนโลยีนำสมัยและทรัพยากร
ที่มีอยู่ประยุกต์กับศักยภาพของการเกิดฝน ในเขตร้อน เช่น ประเทศไทยมุ่งขจัดปัญหา
ความเดือดร้อนดังกล่าว และทรงมีพระราชหฤทัย เชื่อมั่นว่าวิธีการดังกล่าวนี้
จะทำให้ การพัฒนาระบบการจัดทรัพยากรน้ำของชาติเกิด
ความพร้อมและครบบริบูรณ์ตามวัฏจักรของ น้ำ คือ
1.การพัฒนาระบบ
การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำใต้ดิน
2.การพัฒนาระบบ การจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำผิวดิน
3.การพัฒนา การ
จัดการทรัพยากรแหล่งน้ำใน บรรยากาศ
และทรงเชื่อมั่นในพระราชหฤทัย
ว่าด้วย ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ ของประเทศจะ
สามารถดำเนินการให้บังเกิดผลสำเร็จได้ อย่างแน่นอน ดังนั้น ในปี พุทธศักราช 2499
จึงได้ทรง พระมหากรุณาพระราชทาน โครงการพระราชดำริ "ฝนหลวง"
ให้หม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล รับไปดำเนินการ ศึกษา วิจัย และ การพัฒนา
กรรมวิธีการทำฝนให้บังเกิดผลโดยเร็ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงกำหนดขั้นตอนของกรรมวิธีการทำฝนหลวงขึ้นเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายๆ ตามลำดับ
ดังนี้
ขั้นตอนที่หนึ่ง : "ก่อกวน"
เป็นขั้นตอนที่เมฆธรรมชาติ เริ่มก่อตัวทางแนวตั้ง การปฏิบัติการฝนหลวง
ในขั้นตอนนี้ จะมุ่งใช้สารเคมีไปกระตุ้น ให้มวลอากาศเกิดการลอยตัวขึ้นสู่ เบื้องบน
เพื่อให้เกิดกระบวนการชักนำไอน้ำ หรือ ความชื้นเข้าสู่ระบบการเกิด เมฆ ระยะ เวลาที่จะปฏิบัติการในขั้นตอนนี้
ไม่ควรเกิน 10.00 น. ของแต่ละวัน โดยการใช้ สารเคมีที่สามารถดูดซับไอน้ำจากมวล
อากาศได้ แม้จะมีเปอร์เซ็นต์ความชื้นสัมพัทธ์ ต่ำ (มี ค่า Critical
relative humidity ต่ำ)เพื่อกระตุ้น
กลไกของกระบวนการกลั่นตัวไอน้ำในมวล อากาศ (เป็นการสร้าง Surrounding
ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเมฆด้วย)
ทางด้านเหนือ ลมของพื้นที่เป้าหมาย เมื่อเมฆเริ่มเกิด มีการก่อตัว
และเจริญเติบโตทางตั้งแล้ว จึงใช้สารเคมีที่ให้ปฏิกิริยาคาย ความร้อนโปรยเป็นวงกลม
หรือเป็นแนวถัดมา ทางใต้ลมเป็นระยะทางสั้นๆ เข้าสู่ก้อนเมฆ
เพื่อกระตุ้นให้เกิดกลุ่มแกนร่วม(main cloud core) ในบริเวณ
ปฏิบัติการสำหรับใช้เป็นศูนย์กลาง ที่ จะสร้างกลุ่มเมฆฝนในขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอน ที่ สอง : "เลี้ยง ให้ อ้วน"
เป็นขั้นตอนที่เมฆกำลัง ก่อตัวเจริญเติบโตซึ่งเป็นระยะสำคัญมาก
ในการปฏิบัติการฝนหลวง เพราะจะต้องไป เพิ่มพลังงานให้แก่ updraft
ให้ยาวนานออกไป
ต้อง ใช้เทคโนโลยีและประสบการณ์หรือศิลปะแห่ง การทำฝนควบคู่ไปพร้อมๆ กัน
เพื่อตัดสินใจ โปรยสารเคมีฝนหลวงชนิดใด ณ ที่ใดของกลุ่ม ก้อนเมฆ
และในอัตราใดจึงเหมาะสม เพราะ ต้องให้กระบวนการเกิดละอองเมฆสมดุล กับความแรงของ updraft
มิฉะนั้นจะทำให้เมฆ
สลาย
ขั้นตอน ที่ สาม : "โจมตี"
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกรรมวิธี ปฏิบัติการฝนหลวง เมฆ หรือ กลุ่มเมฆฝนมี
ความหนาแน่นมากพอที่จะสามารถตกเป็น ฝนได้ ภายในกลุ่มเมฆจะมีเม็ดน้ำขนาดใหญ่มากมาย
หากเครื่องบินบินเข้าไปในกลุ่มเมฆฝนนี้ จะมีเม็ดน้ำเกาะตามปีก และกระจังหน้า
ของเครื่องบิน เป็นขั้นตอนที่สำคัญ และอาศัย ประสบการณ์มาก
เพราะจะต้องปฏิบัติการเพื่อ ลดความรุนแรงของ updraft หรือทำให้อายุของ
updraft หมดไป สำหรับการปฏิบัติการในขั้นตอนนี้
จะต้องพิจารณาจุดมุ่งหมายของการทำฝนหลวง ซึ่งมีอยู่ 2
ประเด็นคือเพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก (Rain enhancement) และเพื่อให้เกิดการกระจายการตกของฝน
(Rain redistribution)
เครื่องมือและอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ประกอบในการทำฝนหลวง
1. เครื่องมืออุตุนิยมวิทยา ใช้ใน การตรวจวัด
และศึกษาสภาพอากาศประกอบการ วางแผนปฏิบัติการ นอกเหนือจากแผนที่อากาศ ภาพถ่าย
ดาวเทียมที่ได้รับสนับสนุนเป็นประจำวัน จาก กรมอุตุนิยมวิทยาที่มีใช้ได้แก่
1.1 เครื่องวัดลมชั้นบน (Pilot Balloon) ใช้ตรวจวัดทิศทางและความเร็ว
ลมระดับสูงจากผิวดินขึ้นไป
1.2 เครื่องวิทยุหยั่งอากาศ (Radiosonde) เป็นเครื่องมือ
อิเล็คทรอนิคส์ประกอบด้วยเครื่องส่งวิทยุ ซึ่งจะ ติดไปกับบอลลูน
และเครื่องรับสัญญาณวิทย ุ ซึ่งจะบอกให้ทราบถึงข้อมูลอุณหภูมิความชื้น
ของบรรยากาศในระดับต่างๆ
1.3 เครื่องเรดาร์ ตรวจอากาศ (Weather Radar) ที่มีใช้อยู่เป็นแบบติดรถยนต์
เคลื่อนที่ได้มีประสิทธิภาพ สามารถบอกบริเวณ ที่มีฝนตกและความแรง
หรือปริมาณน้ำฝนและ การเคลื่อนที่ของกลุ่มฝนได้ในรัศมี 200-400 กม.
ซึ่งนอกจากจะใช้ประกอบการวางแผนปฏิบัติการแล้ว ยังใช้เป็นหลักฐานในการประเมินผล
ปฏิบัติการฝนหลวงอีกด้วย
1.4 เครื่องมือตรวจ อากาศผิวพื้นต่างๆ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิเครื่องวัด
ความเร็วและทิศทางลมเครื่องวัดปริมาณน้ำฝน เป็นต้น
2. เครื่องมือเตรียมสารเคมี ได้แก่เครื่อง
บดสารเคมีเครื่องผสมสารเคมี ทั้งแบบน้ำและ แบบผง ถัง และ กรวยโปรยสารเคมี เป็นต้น
3. เครื่องมือ สื่อสาร ใช้ในการติดต่อ
สื่อสารและสั่งการระหว่างนักวิชาการบน เครื่องบิน กับฐานปฏิบัติการ หรือระหว่างฐาน
ปฏิบัติการ 2 แห่ง หรือใช้รายงานผลระหว่างฐาน ปฏิบัติงานสำนักงานฯ
ในส่วนกลางโดยอาศัยข่าย ร่วมของวิทยุตำรวจ ศูนย์สื่อสารสำนักงาน
ปลัดกระทรวงมหาดไทย วิทยุเกษตร และกรม ไปรษณีย์โทรเลข เครื่องมือสื่อสารที่ใช้ใน
ปัจจุบัน ได้แก่วิทยุซิงเกิลไซด์แบนด์ วิทยุ FM.1, FM.5
เครื่องทรพิมพ์ เป็นต้น
4. เครื่องมือ ทาง วิชาการ อื่นๆ เช่นอุปกรณ์
ทางการวางแผนปฏิบัติการ เข็มทิศ แผนที่ กล้อง ส่อง ทางไกล
เครื่องมือตรวจสอบสารเคมี กล้องถ่ายภาพ และ อื่นๆ
5. สถานี เรดาร์ฝนหลวง
ในบรรดาเครื่องมืออุปกรณ์ วิทยาศาสตร์ ภายใต้โครงการวิจัยทรัพยากรบรรยากาศ
ประยุกต์จำนวน 8 รายการนั้น Doppler radar จัดเป็น
เครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ที่มีมูลค่าสูงสุด Doppler radar นี้ใช้เพื่อวางแผนการทดลองและติดตาม
ประเมินผลปฏิบัติการฝนหลวง สาธิตเครื่องมือชนิดนี้ ทำงานโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์(Microvax
3400)
ควบคุม การสั่งการการ เก็บบันทึก รวบรวม ข้อมูล สามารถ
นำข้อมูลกลับมาแสดงใหม่จากเทปบันทึก ใน รูปแบบการทำงานของ IRIS
(IRIS Software) ผ่าน Processor (RUP-6)
กล่าวคือ ข้อมูลจะถูกบันทึกไว้ในเทป บันทึกข้อมูล ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถ
นำมาใช้ได้ตลอด ซึ่งเชื่อมต่อกับ ระบบเรดาร์ การแสดงผล/ข้อมูล โดย จอภาพ (TV.monitor)
ขนาด
20 นิ้ว สถานที่ตั้ง Doppler radar หรือ
ที่ เรียกว่า สถานี เรดาร์ฝนหลวง นี้อยู่ที่ ตำบลยางเปียง อำเภออมก๋อย จังหวัด เชียงใหม่
ด้วยความสำคัญและปริมาณความต้องการให้
ปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือทวีจำนวนมากขึ้น
ฉะนั้นเพื่อให้งานปฏิบัติการฝนหลวงสามารถ ปฏิบัติการช่วยเหลือเกษตรกรได้กว้างขวาง
และได้ ผลดียิ่งขึ้น รัฐบาลจึงได้ตราพระราช กฤษฎีกาก่อตั้ง สำนักงานปฏิบัติการ
ฝนหลวงขึ้นในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน
พ.ศ. 2518 เพื่อ เป็นหน่วยงานรองรับโครงการพระราชดำริฝนหลวง ต่อไป
จากกรรมวิธีการทำฝนหลวงที่ใช้เป็นหลัก
อยู่ในปัจจุบัน คือการโปรยสารเคมีฝนหลวง จากเครื่องบิน
เพื่อเร่งหรือเสริมการก่อตัว และ การเจริญเติบโตของเมฆ และการโจมตีกลุ่ม เป้าหมาย
ที่ต้องการที่เคยปฏิบัติกันมา ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบันนี้ นั้นใน
บางครั้งก็ประสบปัญหาที่ไม่สามารถ ปฏิบัติการตามขั้นตอน กรรมวิธีให้ครบถ้วนสมบูรณ์
เช่น ในขั้นโจมตีให้ฝนตกลงสู่พื้นที่เป้าหมาย
ไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากฝนตกปกคลุมสนามบิน เกิดลมพายุปั่นป่วน และรุนแรง
เครื่องบิน ไม่สามารถบินขึ้นปฏิบัติการได้ ทำให้กลุ่มเมฆ เคลื่อนพ้นพื้นที่เป้าหมาย
จากปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จึงได้มีการวิจัยและทดลองกรรมวิธี การทำฝน
เพื่อการพัฒนาและก้าวหน้าบรรลุ เป้าหมายยิ่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง อาทิเช่นการทำวิจัย
สร้างจรวดบรรจุสารเคมียิงจากพื้นดินเข้าสู่ ก้อนเมฆ หรือยิงจากเครื่องบิน จึงได้มี
การเริ่มวิจัยประดิษฐ์จรวดทำฝนร่วมกับ กรมสรรพาวุธทหารบก เมื่อ พ.ศ. 2515-2516
จนก้าวหน้าถึง ระดับทดลองยิงในเบื้องต้นแล้ว แต่ต้อง
หยุดชะงักด้วยความจำเป็นบางประการของ กรมสรรพาวุธทหารบกจนถึงพ.ศ.2524
คณะกรรมการสภาวิจัย แห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทำงานพัฒนาและ
วิจัยจรวดฝนเทียมขึ้นประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ ด้านจรวดของกองทัพบก กองทัพเรือ
กองทัพอากาศ นักวิชาการ ของสภาวิจัยแห่งชาติ และนักวิชาการฝนหลวงซึ่ง
ได้ทำการวิจัยประดิษฐ์และพัฒนาจรวด ต้นแบบขึ้น ทำการทดลองยิงทดสอบก้าวหน้า
มาตามลำดับ และถึงขั้นบรรจุสารเคมีเพื่อ ทดลองยิงเข้าสู่ก้อนเมฆจริงแล้วในปี พ.ศ.
2530 ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นทำการผลิต จรวดเชิงอุตสาหกรรมเพื่อทำการยิงทดลอง
และตรวจสอบผลในเชิงปฏิบัติการต่อไป ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรง
พระกรุณาพระราชทานแนวความคิดในการวิจัยชิ้นนี้
อาจกล่าวได้ว่าการวางแผนและกำหนดกรรมวิธี
ในการทำฝนหลวงในขั้นตอนต่างๆนั้น ได้
มาจากพระราชอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในการประมวลและวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้ง การนำความสามารถของเทคโนโลยีสารสนเทศ
มาใช้ในการดำเนินงานให้แต่ละขั้นตอนมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นวิทยุสื่อสาร, ดาวเทียม หรือ
แม้แต่คอมพิวเตอร์ ก็ตาม กล่าวคือ พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี
สารสนเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
ทำไมไม่ทำแยกเป็น2โพสตวะ--"
ตอบลบน่าสนใจดี :D
ตอบลบปลาบปลื้มมากที่เด็กไทย อนาคตของชาติ เห็นความสำคัญของพระราชกรณียกิจ
ตอบลบขอพระองค์ทรงพระเจริญ
เนื้อหามีความน่าสนใจมาก บล็อคสวยดีอะ :)
ตอบลบ